ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Xochitl Dixon

ต้องการพระคุณเป็นพิเศษ

ขณะที่เราตกแต่งสถานที่สำหรับจัดงานพิเศษที่คริสตจักร ผู้หญิงที่เป็นแม่งานก็บ่นไม่หยุดเรื่องที่ฉันไม่มีประสบการณ์ หลังจากที่เธอเดินออกไป ผู้หญิงอีกคนก็เดินเข้ามาหาฉันและพูดว่า “อย่าไปสนใจเธอเลย เธอคือบุคคลที่เราเรียกว่า E.G.R - Extra Grace Required (ต้องการพระคุณเป็นพิเศษ)”

ฉันหัวเราะ จากนั้นไม่นานฉันก็เริ่มใช้ฉายาดังกล่าวกับใครก็ตามที่ฉันมีปัญหาด้วย หลายปีต่อมาฉันได้ยินข่าวการเสียชีวิตของ E.G.R. ผู้นี้ที่คริสตจักรแห่งเดิม ศิษยาภิบาลเล่าว่าเธอเป็นคนที่รับใช้พระเจ้าอยู่เบื้องหลังและมีจิตใจโอบอ้อมอารี ฉันขอพระเจ้ายกโทษที่ไปตัดสินและนินทาเธอ รวมถึงใครก็ตามในอดีตที่ฉันเคยเรียกเขาว่า E.G.R ทั้งๆที่ตัวฉันเองนั่นแหละที่ต้องการพระคุณเป็นพิเศษมากพอๆกับผู้เชื่อคนอื่นๆ

ในเอเฟซัส 2 อัครทูตเปาโลกล่าวว่าผู้เชื่อทุกคน “ตามสันดาน...เป็นคนควรแก่พระอาชญา” (ข้อ 3) แต่พระเจ้าทรงประทานของประทานแห่งความรอดแก่เราทั้งหลายทั้งๆที่เราไม่สมควรได้รับ เป็นของประทานที่เราไม่อาจทำสิ่งใดเพื่อจะได้มา “เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้” (ข้อ 9) แม้แต่คนเดียว

เมื่อเรายอมจำนนต่อพระเจ้าในทุกช่วงเวลาของการเดินทางแห่งชีวิตที่ยาวนาน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงนิสัยของเรา เพื่อเราจะสามารถสะท้อนถึงพระลักษณะของพระคริสต์ ผู้เชื่อทุกคนต้องการพระคุณเป็นพิเศษ แต่เราสามารถขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณของพระองค์ที่มีเพียงพออยู่เสมอ (2 คร.12:9)

เลียนแบบพระเยซู

“เจ้าแห่งการปลอมแปลง” อาศัยอยู่ในน่านน้ำของอินโดนีเซียและในแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ หมึกสายเลียนแบบนั้นเป็นเหมือนปลาหมึกอื่นๆ ที่สามารถเปลี่ยนสีของมันให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมได้ สิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดนี้ยังเปลี่ยนแปลงรูปร่าง รูปแบบการเคลื่อนไหว และพฤติกรรมของมันเมื่อถูกคุกคาม โดยจะเลียนแบบสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น ปลาสิงโตมีพิษ และแม้แต่งูทะเลที่อันตรายถึงชีวิต

แต่ผู้เชื่อในพระเยซูนั้นไม่เหมือนกับหมึกสายเลียนแบบ เราต้องโดดเด่นในโลกที่รายล้อมเรา เราอาจรู้สึกถูกคุกคามจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเราและถูกทดลองให้ทำตัวกลมกลืน เพื่อเราจะไม่ถูกจดจำได้ว่าเป็นสาวกของพระคริสต์ แต่อัครทูตเปาโลหนุนใจให้ถวายตัวของเราเป็น “เครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” (รม.12:1) เพื่อเป็นตัวแทนของพระเยซูในทุกแง่มุมของชีวิตเรา

เพื่อนๆหรือคนในครอบครัวอาจพยายามกดดันให้เราประพฤติ “ตามอย่างคนในยุคนี้” (ข้อ 2) แต่เราแสดงให้เห็นได้ว่าเรารับใช้ใคร โดยปรับชีวิตเราให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราบอกว่าเราเชื่อในฐานะบุตรของพระเจ้า เมื่อเราเชื่อฟังพระคัมภีร์และสะท้อนถึงพระลักษณะแห่งความรักของพระองค์ ชีวิตของเราจะแสดงให้เห็นได้ว่า รางวัลของการเชื่อฟังนั้นยิ่งใหญ่กว่าการสูญเสียใดๆเสมอ วันนี้คุณจะเลียนแบบพระเยซูอย่างไร

ทีละก้าว

ผู้เล่นสิบสองทีมที่แต่ละทีมมีผู้เล่นสามคนยืนไหล่ชิดกันเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันวิ่งสี่ขา คนที่อยู่ด้านข้างถูกมัดข้อเท้าและเข่ากับคนที่อยู่ตรงกลางด้วยผ้าสีสดใส ทั้งสามต่างจับจ้องไปที่เส้นชัย เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น ทั้งสามเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ผู้เล่นส่วนใหญ่ล้มและพยายามลุกขึ้นเดินใหม่ บางกลุ่มเลือกที่จะกระโดดแทนการเดิน บางคนยอมแพ้ แต่ทีมหนึ่งออกตัวช้า ทำตามแผน และสื่อสารกันในระหว่างที่ก้าวไปข้างหน้า พวกเขาสะดุดระหว่างการเดินแต่ก็มุ่งมั่นจนไม่นานก็สามารถแซงทุกทีมไปได้ ความเต็มใจให้ความร่วมมือของพวกเขาในการก้าวไปทีละก้าว ทำให้พวกเขาเข้าสู่เส้นชัยด้วยกัน

การใช้ชีวิตเพื่อพระเจ้าในท่ามกลางผู้เชื่อพระเยซูบางครั้งอาจรู้สึกหงุดหงิดเหมือนเช่นการพยายามก้าวไปข้างหน้าในการแข่งเดินสี่ขา เรามักจะสะดุดล้มเวลาต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากเราเปโตรพูดถึงการอธิษฐาน การต้อนรับขับสู้ และการใช้ของประทานของเราเพื่อเชื่อมโยงให้เข้ากับผู้อื่นได้เพื่อชีวิตในอนาคต ท่านเรียกร้องให้ผู้เชื่อในพระเยซู “รักซึ่งกันและกันให้มาก” (1ปต.4:8) เพื่อจะต้อนรับเลี้ยงดูซึ่งกันและกันโดยไม่บ่น และเพื่อ “ใช้ของประทานนั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกัน เป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดีที่แจกและสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า” (ข้อ 10) เมื่อเราทูลขอให้พระเจ้าทรงช่วยเราในการสื่อสารและร่วมมือกัน เราก็สามารถเป็นผู้นำในการแข่งขันเพื่อแสดงให้โลกเห็นถึงการชื่นชมยินดีในความแตกต่าง และการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้

อยู่ในเอื้อมพระหัตถ์พระเจ้า

เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นตัวเสร็จฉันก็เดินเข้าไปในเรือนจำเขต ลงชื่อผู้เข้าเยี่ยม และนั่งลงในห้องรับรองที่แน่นขนัด ฉันอธิษฐานอย่างเงียบๆ มองดูพวกผู้ใหญ่ที่กระสับกระส่ายและถอนหายใจขณะที่เด็กๆบ่นเรื่องการรอ ผ่านไปชั่วโมงกว่าเจ้าหน้าที่ติดอาวุธขานรายชื่อซึ่งมีชื่อของฉันด้วย เขาพากลุ่มของเราเข้าไปในห้องและชี้ให้นั่งเก้าอี้ที่กำหนดไว้ เมื่อลูกเลี้ยงชายของฉันนั่งลงบนเก้าอี้อีกฝั่งของบานกระจกหนาและหยิบหูฟังโทรศัพท์ขึ้นมา ความสิ้นหวังอย่างที่สุดก็ท่วมท้นตัวฉัน แต่ขณะที่ร้องไห้ พระเจ้าทรงยืนยันกับฉันว่าลูกเลี้ยงของฉันยังคงอยู่ในเอื้อมพระหัตถ์ของพระองค์

ในสดุดี 139 ดาวิดทูลพระเจ้าว่า “พระองค์...ทรงรู้จักข้าพระองค์...ทรงคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์ (ข้อ 1-3) คำประกาศถึงพระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูของดาวิดนำไปสู่การเฉลิมฉลองถึงการทรงดูแลและปกป้องอย่างใกล้ชิดของพระองค์ (ข้อ 5) พระปัญญาอันกว้างใหญ่ไพศาลและการทรงสัมผัสอย่างลึกซึ้งของพระเจ้าท่วมท้นท่าน ดาวิดถามคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบสองข้อ “ข้าพระองค์จะไปไหนให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์” (ข้อ 7)

เมื่อตัวเราหรือคนที่เรารักตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวังและอับจนหนทาง พระหัตถ์ของพระเจ้ายังคงเข้มแข็งและมั่นคง แม้ขณะที่เราคิดว่าเราหลงไปไกลจากการทรงไถ่ด้วยความรักของพระองค์ แต่เรายังอยู่ในเอื้อมพระหัตถ์ของพระองค์เสมอ

พระเจ้าทรงมองเห็น เข้าใจ และห่วงใย

บางครั้งการอยู่กับโรคอ่อนเพลียเรื้อรังทำให้ต้องแยกตัวอยู่บ้านและรู้สึกโดดเดี่ยว ฉันมักรู้สึกว่าถูกพระเจ้าและคนอื่นมองข้ามบ่อยๆ ฉันเผชิญกับความรู้สึกนั้นขณะเดินอธิษฐานตอนเช้ากับสุนัขบริการของฉัน ฉันสังเกตเห็นลูกบอลลูนอยู่ไกลๆ คนที่อยู่ในกระเช้าบอลลูนนั้นสามารถชื่นชมหมู่บ้านอันเงียบสงบของเราผ่านมุมสูงได้ แต่พวกเขามองไม่เห็นฉัน ฉันถอนหายใจขณะที่เดินผ่านบ้านของพวกเพื่อนบ้าน จะมีกี่คนด้านหลังประตูที่ปิดเหล่านั้นที่รู้สึกถูกมองข้ามและไม่สำคัญ เมื่อฉันเดินเสร็จ ฉันทูลขอพระเจ้าประทานโอกาสให้ฉันได้บอกเพื่อนบ้านเหล่านี้ได้รู้ว่าฉันมองเห็นและห่วงใยพวกเขา และพระองค์ก็เช่นกัน

พระเจ้าทรงกำหนดจำนวนของดวงดาวที่พระองค์ได้ตรัสสั่งให้เกิดมีขึ้น พระองค์ทรงตั้งชื่อให้ดาวแต่ละดวง (สดด.147:4) ซึ่งเป็นการกระทำอันละเอียดอ่อนที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงใส่ใจรายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุด พระกำลังซึ่งรวมถึงพระปัญญา ความเข้าใจและความรอบรู้ของพระองค์นั้น “วัดไม่ได้” ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต (ข้อ 5)

พระเจ้าทรงได้ยินทุกเสียงร้องไห้อันสิ้นหวังและมองเห็นน้ำตาทุกหยดที่หลั่งรินอย่างเงียบๆได้ชัดเจนเหมือนที่พระองค์ทรงมองเห็นทุกความสุขและการหัวเราะสุดเสียง พระองค์ทรงเห็นทั้งตอนที่เราสะดุดล้มและยืนหยัดด้วยชัยชนะ พระองค์ทรงเข้าใจความกลัวที่ลึกที่สุด ความคิดที่ซ่อนอยู่ภายใน และความฝันที่สุดขั้วของเรา พระองค์ทรงรู้ว่าเราผ่านอะไรมาและเรากำลังจะไปไหน เมื่อพระเจ้าทรงช่วยให้เรามองเห็น ได้ยิน และรักเพื่อนบ้านของเรา เราก็วางใจได้ว่าพระองค์จะมองเห็น เข้าใจ และห่วงใยเราเช่นเดียวกัน

รักอย่างพระเยซู

ขณะกำลังรอรถไฟที่สถานีในแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมกางเกงขายาวและเสื้อเชิ้ตติดกระดุมนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว ขณะที่เขากำลังมีปัญหากับการผูกเน็คไท หญิงสูงวัยคนหนึ่งบอกให้สามีของเธอช่วยเขา เมื่อชายสูงวัยค้อมตัวลงและเริ่มสอนชายหนุ่มผูกเน็คไท มีคนถ่ายรูปทั้งสามคนไว้ เมื่อรูปนี้ว่อนไปในอินเตอร์เน็ต มีผู้ชมมากมายแสดงความเห็นเกี่ยวกับพลังของการแสดงความเมตตา

สำหรับผู้เชื่อในพระเยซู การมีใจกรุณาต่อผู้อื่นสะท้อนถึงความห่วงใยอย่างไม่เห็นแก่ตัวที่พระองค์ทรงสำแดงแก่คนอย่างเราทั้งหลาย นี่เป็นการแสดงออกถึงความรักของพระเจ้าและเป็นสิ่งที่พระองค์ประสงค์ให้สาวกของพระองค์สำแดงออกในการใช้ชีวิต คือ “ให้เราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน” (1ยน.3:11) ยอห์นเปรียบการเกลียดชังพี่น้องเท่ากับการฆ่าคน (ข้อ 15) แล้วท่านก็ยกพระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่างของความรักที่สำแดงออกเป็นการกระทำ (ข้อ 16)

ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวไม่จำเป็นต้องแสดงออกถึงการเสียสละจนมากเกินควร แต่เพียงแค่เรายอมรับในคุณค่าของทุกคนที่ดำรงพระฉายของพระเจ้าโดยการให้ความสำคัญในความจำเป็นของพวกเขาก่อนของตัวเราเอง... ทุกๆวัน เมื่อเรามีความรักเป็นแรงผลักดัน เราจะสำแดงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวออกมาในโอกาสต่างๆที่ดูเหมือนธรรมดา ในเวลาที่เราห่วงใยคนอื่นมากพอจนสังเกตเห็นความจำเป็นของเขาและช่วยเหลือเท่าที่เราทำได้ เมื่อเรามองออกไปนอกพื้นที่ส่วนตัวของเรา และก้าวออกไปนอกพื้นที่ปลอดภัยของเราเพื่อรับใช้ผู้อื่นและเป็นผู้ให้ โดยเฉพาะในเวลาที่เราไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้ นั่นแหละคือการที่เรากำลังรักแบบพระเยซู

น้ำตาแห่งการสรรเสริญ

เมื่อหลายปีก่อนฉันต้องดูแลแม่ที่สถานพักฟื้น ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับเวลาสี่เดือนที่ทรงอนุญาตให้ฉันได้รับใช้ในฐานะผู้ดูแลของแม่ และฉันทูลขอพระเจ้าทรงช่วยฉันให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศก ฉันมักจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะสรรเสริญพระเจ้าขณะที่ต้องปล้ำสู้กับอารมณ์ที่แปรปรวน แต่ขณะที่แม่ของฉันกำลังสิ้นลม ฉันร้องไห้ฟูมฟายและกระซิบว่า “ฮาเลลูยา” ฉันรู้สึกผิดตลอดหลายปีหลังจากนั้นที่สรรเสริญพระเจ้าในช่วงเวลาของการสูญเสีย จนกระทั่งฉันได้พิจารณาอย่างลึกซึ้งในพระธรรมสดุดีบทที่ 30

ในบทเพลงของกษัตริย์ดาวิด “เพื่อถวายพระวิหาร” พระองค์นมัสการถึงความสัตย์ซื่อและพระเมตตาของพระเจ้า (ข้อ 1-3) และหนุนใจผู้อื่นให้ “สรรเสริญพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์” (ข้อ 4)จากนั้นดาวิดพิเคราะห์ถึงการที่พระเจ้าทรงผูกโยงความยากลำบากกับความหวังเข้าด้วยกันอย่างแนบสนิท (ข้อ 5) พระองค์รับรู้ถึงช่วงเวลาของความเศร้าและความยินดี เวลาที่รู้สึกปลอดภัยและท้อใจ (ข้อ 6-7) คำร้องทูลขอให้ทรงช่วยก็ยังคงตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นในพระเจ้า (ข้อ 7-10) เสียงสะท้อนแห่งคำสรรเสริญของดาวิดถักทอผ่านช่วงเวลาของการร่ำไห้และเต้นรำ ผ่านความทุกข์และความยินดี (ข้อ 11) ในท่ามกลางความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของความทุกข์ลำบากที่ดาวิดต้องอดทนฟันฝ่าและรอคอยความสัตย์ซื่อของพระเจ้า พระองค์ประกาศว่าจะทรงถวายโมทนาแด่พระเจ้าเป็นนิตย์ (ข้อ 12)

เราร้องเหมือนดาวิดได้ว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะถวายโมทนาแด่พระองค์เป็นนิตย์” (ข้อ 12) ไม่ว่าเราจะมีความสุขหรือกำลังเจ็บปวด พระเจ้าช่วยให้เราประกาศถึงความไว้วางใจที่เรามีในพระองค์ได้ และนำเราให้นมัสการพระองค์ด้วยเสียงโห่ร้องแห่งความยินดี และน้ำตาแห่งการสรรเสริญ

รู้จักเสียงของพระเจ้า

ภายหลังการวิจัยเป็นเวลาหลายปี นักวิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้ว่าสุนัขป่ามีเสียงจำเพาะที่ช่วยให้พวกมันสื่อสารระหว่างกัน นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งใช้รหัสการวิเคราะห์เสียงพิเศษ ทำให้เธอตระหนักว่าเสียงหอนของสุนัขป่าที่ความดังและระดับเสียงต่างๆ ช่วยให้เธอระบุได้อย่างเจาะจงว่าเป็นสุนัขป่าตัวไหนด้วยความแม่นยำ 100 เปอร์เซ็นต์

พระคัมภีร์ให้ตัวอย่างมากมายของการที่พระเจ้าทรงรู้จักเสียงจำเพาะของสรรพสิ่งทรงสร้างอันเป็นที่รักของพระองค์ พระองค์ทรงเรียกชื่อโมเสสและตรัสกับท่านโดยตรง (อพย.3:4-6) ดาวิดผู้ประพันธ์เพลงสดุดีประกาศว่า “ข้าพระองค์ร้องทูลพระเจ้า และพระองค์ตรัสตอบข้าพระองค์จากภูเขาอันบริสุทธิ์ของพระองค์” (สดด.3:4) และอัครทูตเปาโลยังเน้นถึงคุณค่าของการที่คนของพระเจ้ารู้จักเสียงของพระองค์

เมื่อเชิญบรรดาผู้ปกครองชาวเอเฟซัสมา เปาโลกล่าวว่า บัดนี้พระวิญญาณ “พันผูก” ท่าน จึงจำเป็นต้องไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ท่านยืนยันคำมั่นว่าจะทำตามพระสุรเสียงของพระเจ้า แม้ไม่ทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อท่านไปถึง (กจ. 20:22) อัครทูตเตือนว่าจะมี “สุนัขป่าอันร้าย” ที่จะ “เข้ามา...กล่าวผันแปรความจริง” แม้กระทั่งจากภายในคริสตจักร (ข้อ 29-30) จากนั้นท่านได้หนุนใจบรรดาผู้ปกครองให้พากเพียรในการแยกแยะและรู้จักความจริงของพระเจ้า (ข้อ 31)

ผู้เชื่อในพระเยซูทุกคนมีสิทธิพิเศษที่จะรู้ว่าพระเจ้าทรงฟังและตอบเรา อีกทั้งเรายังมีฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงช่วยเราให้รู้จักพระสุรเสียงของพระเจ้า ซึ่งสอดคล้องกับถ้อยคำในพระคัมภีร์เสมอ

ถอนรากความบาป

เมื่อฉันสังเกตเห็นกิ่งก้านเล็กๆแตกหน่ออยู่ข้างท่อน้ำในสวนข้างระเบียง ฉันเพิกเฉยต่อสิ่งนี้ที่ดูไม่เป็นอันตราย วัชพืชเล็กๆจะทำอันตรายสนามหญ้าของเราได้อย่างไร แต่หลายสัปดาห์ต่อมา สิ่งรบกวนนี้ก็เติบใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่าพุ่มไม้เล็กๆ และเริ่มเข้ามายึดครองสนามหญ้าของเรา กิ่งก้านของมันพันเลื้อยโค้งขึ้นไปเหนือทางเดินของเราและแตกแขนงในพื้นที่อื่นๆ ฉันต้องยอมรับว่าการดำรงอยู่ของมันเป็นอันตราย ฉันจึงขอให้สามีช่วยขุดรากถอนโคนวัชพืชป่านี้ แล้วก็ปกป้องสวนของเราด้วยยาฆ่าวัชพืช

เมื่อเราเพิกเฉยหรือปฏิเสธการมีอยู่ของบาป บาปก็จะรุกคืบเข้าสู่ชีวิตของเราได้เหมือนกิ่งไม้ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการนี้ที่เจริญเติบโตมากเกินไป และทำให้พื้นที่ส่วนตัวของเรามืดมน พระเจ้าของเราผู้ทรงปราศจากบาปนั้นไม่ทรงมีความมืดในพระองค์...เลย ในฐานะบุตรของพระองค์ เราได้รับการตระเตรียมและมอบหมายให้ต่อต้านบาปตรงหน้าเพื่อที่เราจะสามารถ “ดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง” (1 ยน.1:7) โดยการสารภาพบาปและกลับใจใหม่ เราก็ได้รับการอภัยและเป็นอิสระจากบาป (ข้อ 8-10) เพราะเรามีผู้ทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือพระเยซู (2:1) ผู้ทรงเต็มพระทัยจ่ายราคาสูงสุดเพื่อบาปของเรา คือด้วยพระโลหิตของพระองค์ และ “ไม่ใช่แต่บาปของเราพวกเดียว แต่ของมนุษย์ทั้งปวงในโลกด้วย” (ข้อ 2)

เมื่อพระเจ้าทรงชี้ให้เราเห็นบาปนั้น เราอาจเลือกที่จะปฏิเสธ หลีกเลี่ยง หรือบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบได้ แต่เมื่อเราสารภาพและกลับใจใหม่ พระองค์จะทรงถอนรากความบาปที่ทำลายความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์และผู้อื่นไปเสีย

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา